หลาย ๆ คนที่อยากดูแลตัวเองด้วยการเข้าคลินิกเสริมความงาม อาจจะคุ้นหูกับชื่อโบท็อกซ์มาบ้าง แต่ยังไม่คุ้นเคยว่า การฉีดโบท็อกคืออะไร ? และช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง ? บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการฉีดโบท็อกให้มากขึ้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็น การฉีดโบท็อกมีหลักการทำงานอย่างไร ? อันตรายไหม ? สามารถฉีดในจุดไหนได้บ้าง ? ต้องใช้กี่ยูนิต ? และมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? รับรองว่า ถ้าอ่านจบแล้ว สามารถทักไปจองคิวกับคลินิกเสริมความงามได้เลย ไปดูกันค่ะ!
สารบัญ ฉีดโบท็อก
ทำความรู้จัก! ฉีดโบท็อก คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ?
การฉีดโบท็อก คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากแบคทีเรียคลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) มีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทค่ะ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเข้าไปหยุดทำงานชั่วคราว และเมื่อไม่ได้ใช้งานนาน ๆ กล้ามเนื้อนั้น ๆ ก็จะมีขนาดเล็กลง กล้ามเนื้ออยู่ในสภาพคลายตัว ผิวหนังจึงดูเรียบเนียน และไม่เกิดเป็นรอยพับ
สำหรับด้านความงาม นิยมฉีดโบท็อกเพื่อปรับลดขนาดของกล้ามเนื้อ ช่วยทำให้ใบหน้า และแขนขาดูเรียวสวยได้ค่ะ รวมถึงฉีดลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น ริ้วรอยตีนกา หางตา ริ้วรอยหน้าผาก
โดยทั่วไปสารโบท็อกจะมาในรูปแบบผลึกสีขาวนอนก้นในขวดยา ก่อนการใช้งานคุณหมอจะผสมน้ำเกลือในอัตราส่วนที่พอเหมาะค่ะ เมื่อฉีดโบท็อกเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อแล้ว การทำงานของโบท็อกจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
- ส่วนที่ออกฤทธิ์ จะเป็นโบท็อกซ์ส่วนที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาทค่ะ ซึ่งจะเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท ทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงหรือเป็นอัมพาตชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น และไม่เกิดเป็นรอยพับ ถ้าสารในส่วนนี้มีความเข้มข้นสูง ก็จะทำให้ผลลัพธ์การฉีดโบท็อกอยู่ได้นานขึ้น
- ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม เป็นส่วนของโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปแล้วจะปลิวไปตามกระแสเลือด ซึ่งอยู่ในนั้นไม่เกิน 1 ชั่วโมง ก่อนจะถูกขับออกจากร่างกายค่ะ ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่น ๆ
ฉีดโบท็อก อันตรายไหม ?
การฉีดโบท็อกไม่อันตรายค่ะ เพราะเป็นสารที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยาทั้งไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัย สามารถย่อยสลายได้เองจนหมด โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ก่อนที่การฉีดโบท็อกจะนิยมใช้เพื่อปรับรูปหน้า และลดเลือนริ้วรอยอย่างที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน เดิมทีนิยมฉีดเพื่อรักษาโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อเกร็งผิดปกติ เช่น ตาเข ตากระตุก ไมเกรน และออฟฟิศซินโดรมค่ะ จะเห็นได้ว่าการฉีดโบท็อกนั้นมีความปลอดภัยมาก
แต่อันตรายจากการฉีดโบท็อกสามารถเกิดได้จาก 2 กรณี คือ
- ฉีดโบท็อกปลอมหรือนำเข้าไม่ถูกต้อง สามารถก่อให้เกิดปัญหาได้ตั้งแต่ฉีดแล้วไม่เห็นผล เพราะโบท็อกที่นำเข้าผิดกฎหมาย จะมีการจัดเก็บที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพได้ค่ะ ส่วนในกรณีการฉีดโบท็อกของปลอม จะเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีอาการแพ้รุนแรงได้ เพราะตัวยาไม่บริสุทธิ์มากพอค่ะ
- ฉีดกับหมอเถื่อน ผู้ที่ไม่ใช่หมอ ย่อมไม่สามารถใช้งานโบท็อกได้อย่างถูกต้องค่ะ จึงอาจผสมน้ำเกลือในปริมาณไม่เหมาะสม เมื่อฉีดไปแล้วก็จะไม่ได้ผลและเสี่ยงดื้อโบท็อกตามมา หรืออาจร้ายแรงที่สุดคือฉีดโบท็อกแล้วดูไม่เป็นธรรมชาติ เช่น หน้าแข็ง ปากเบี้ยว หรือคิ้วตก เพราะขาดความเข้าใจกายวิภาคในจุดที่ฉีดนั่นเอง
ฉีดโบท็อก ช่วยอะไรบ้าง ? ฉีดจุดไหน ? แต่ละจุดใช้กี่ยูนิต ?
โบท็อกซ์เป็นสารที่สามารถฉีดได้เกือบทุกส่วนของร่างกายเลยค่ะ โดยในแต่ละจุดจะใช้ปริมาณที่แตกต่างกันออกไป
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะฉีดโบท็อกมากแค่ไหนก็ได้นะคะ เราไม่ควรฉีดเกิน 300 ยูนิตต่อครั้ง ภายในระยะเวลา 3 เดือนค่ะ เพราะอาจส่งผลให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อต้านกับโบท็อก ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผลลัพธ์อย่างที่ควรเป็น ซึ่งเรียกว่า การดื้อโบท็อกนั่นเอง โดยการฉีดโบท็อกสามารถช่วยเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
- ลดกรามและปรับหน้าเรียว สำหรับใครที่มีปัญหาใบหน้าใหญ่ จากการมีกล้ามเนื้อกรามที่ใหญ่ สามารถฉีดโบท็อกลดกราม เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อโดยตรง เมื่อเวลาผ่านไปกล้ามเนื้อกรามก็จะมีขนาดเล็กลง และใบหน้าก็จะดูเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดค่ะ จะใช้โบท็อกประมาณ 50-100 ยูนิต
- ลิฟกรอบหน้า สำหรับสาว ๆ คนไหนที่อยากปรับรูปหน้าให้ได้ทรง V Shape หรือหนุ่ม ๆ ที่อยากเพิ่มความคมด้วย Jawline สามารถฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้าได้ โดยการฉีดโบท็อกบริเวณกรอบหน้า หรือกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ ซึ่งจะช่วยยกกระชับผิว และทำให้กรอบหน้าดูชัดขึ้น นิยมทำคู่กับโบท็อกกรามเพื่อให้ผลลัพธ์ที่เป๊ะปังค่ะ
- ลดริ้วรอย การฉีดโบท็อกลดริ้วรอย จะทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้แสดงสีหน้าคลายตัวลง รอยพับจึงดูเรียบเนียนขึ้น และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ นิยมใช้แก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าค่ะ โดยในการฉีดแต่ละจุดจะใช้ปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น ฉีดโบท็อกหน้าผากใช้ 30 U ฉีดโบท็อกหางตา/ตีนกา ใช้ข้างละ 25 U และฉีดโบท็อกระหว่างคิ้วใช้ 25 U
- ลดเหงื่อและลดกลิ่นตัว การฉีดโบท็อกลดเหงื่อและลดกลิ่นตัว จะฉีดเข้าไปยังต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า โดยจะใช้ครั้งละ 100-200 U เมื่อเหงื่อออกน้อยลง กลิ่นตัวก็จะลดลงตามไปด้วยค่ะ เพราะบริเวณรักแร้จะมีต่อมเหงื่อ Apocrine Sweat Glands ที่ผลิตของเหลวที่มีกรดไขมันหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ เมื่อสารนี้ถูกหลั่งออกมาภายนอกและถูกแบคทีเรียย่อยสลายให้กลายเป็นแอมโมเนีย ก็จะเกิดกลิ่นฉุน การฉีดโบท็อกรักแร้ จึงช่วยลดกลิ่นตัวได้อีกด้วย
- ลดขนาดกล้ามเนื้อ สำหรับสาว ๆ คนไหนที่มีน่องใหญ่ เพราะใส่ส้นสูงบ่อย หรือทำงานที่จำเป็นต้องยืนนาน ๆ ติดต่อกัน สามารถฉีดโบท็อกน่อง ซึ่งจะช่วยปรับให้น่องมีขนาดเล็กลง และขาดูเรียวสวยขึ้น โดยคุณหมอจะทยอยฉีดให้ครั้งละไม่เกิน 300 U ค่ะ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาดื้อโบท็อก
- ฟื้นฟูผิว สามารถฉีดโบท็อกกระชับรูขุมขน ใช้ประมาณ 25-30 ยูนิต โดยคุณหมอจะฉีดโบท็อกไปยังกล้ามเนื้อและต่อมไขมันบริเวณใบหน้า เมื่อรูขุมขนและต่อมไขมันลดขนาดลง ความมันบนใบหน้าก็จะลดลง ผิวก็จะดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นได้ค่ะ
ฉีดโบท็อก มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้าง ?
สำหรับใครที่ยังลังเลอยู่ว่า ควรฉีดโบท็อกดีไหม ? คงจะอยากรู้ถึง ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดโบท็อกกัน ซึ่งเราได้รวบรวมไว้ให้แล้วค่ะ ไปดูกันเลย
ฉีดโบท็อก ข้อดี
- สามารถฉีดโบท็อกได้หลายตำแหน่ง ทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย เช่น ฉีดโบท็อกลดกราม และฉีดโบท็อกลดน่อง
- การฉีดโบท็อกสามารถแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย และตรงจุด เช่น ฉีดโบท็อกลดเลือนริ้วรอย ที่เกิดจากการแสดงสีหน้า ฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้าเพื่อปรับกรอบหน้าให้ชัด ฉีดโบท็อกลดเหงื่อและลดกลิ่นตัว หรือฉีดโบท็อกกระชับรูขุมขน
- การฉีดโบท็อกให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ถ้าใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง และฉีดกับคุณหมอที่มากประสบการณ์
- สารที่ใช้ฉีดโบท็อกมีความปลอดภัยสูง และสามารถย่อยสลายได้เอง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ไว้ในร่างกาย จึงสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้
- การฉีดโบท็อก เป็นวิธีลดริ้วรอยที่ตรงจุด และเห็นผลไวกว่าการใช้สกินแคร์ รวมถึงยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้อีกด้วย
- การฉีดโบท็อก เป็นการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่มีรอยแผลเป็น และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน หลังฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเลย
ฉีดโบท็อก ข้อเสีย
- สารโบท็อกจะไม่อยู่ถาวรค่ะ ซึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองของแต่ละคน
- ถ้าฉีดโบท็อกกับคุณหมอที่ขาดประสบการณ์หรือหมอเถื่อน อาจใช้ปริมาณยูนิตไม่เหมาะสม และเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ฉีดโบท็อกแล้วหน้าแข็ง ปากเบี้ยว หรือคิ้วตก
- ถ้าใช้งานไม่เหมาะสมสามารถเกิดอาการดื้อโบท็อก ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผลได้ค่ะ โดยเกิดจากการฉีดโบท็อกมากกว่า 300 ยูนิตต่อครั้ง การเปลี่ยนยี่ห้อโบท็อกบ่อย ๆ หรือการฉีดโบท็อกบ่อยเกินไป ซึ่งการฉีดที่เหมาะสมควรเว้นอย่างน้อย 3 เดือนจากครั้งก่อน แต่ไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือนค่ะ
สรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับข้อมูลการฉีดโบท็อกที่บทความนี้นำมาฝากกัน สาว ๆ คนไหนที่ตัดสินใจจะไปฉีดโบท็อก เพื่อลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้า หรือฟื้นฟูผิว อย่าลืมเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ฉีดกับคุณหมอที่มากประสบการณ์ และเช็กโบท็อกของแท้ทุกครั้ง เพียงแค่นี้ก็หมดกังวลปัญหาฉีดโบท็อกแล้วหน้าแข็ง ปากเบี้ยว หรือคิ้วตกแล้วค่ะ
Leave a Reply